แม่หมอพะงา
ผู้เข้าชมรวม
15
ผู้เข้าชมเดือนนี้
15
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ยามบ่ายในหมู่บ้านนามว่าผาสิงห์แห่งนี้ อากาศร้อนอบอ้าวเหมือนเปลวไฟที่เผาไหม้อยู่ใต้ผิวดิน เงาของต้นไม้ใหญ่ทอดยาวไปบนพื้นดินแห้งกรัง เสียงแมลงวันบินวนเวียนอยู่ใกล้แอ่งน้ำเน่าเล็กๆด้านหลังยุ้งข้าว ใบไม้แห้งที่ตกเกลื่อนส่งเสียงกรอบแกรบเมื่อกระแสลมพัดผ่าน ทว่าลมนี้ไม่ได้หอบความเย็นสบาย มีแต่กลิ่นชื้นและกลิ่นดินร้อนที่ลอยคลุ้งอบอวล
เด็กชายชื่อว่า ขวัญ อายุประมาณสิบขวบเศษเดินเตะก้อนหินด้วยเท้าเปล่าระหว่างทางเข้าสู่ป่าช้าเก่า ใบหน้าของเขามีเหงื่อเม็ดโตเกาะพราว ทว่าแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความซุกซน ใบไม้สีน้ำตาลปลิวว่อนเมื่อขวัญลากไม้เท้าสั้นๆที่เขาเก็บได้จากทางข้างยุ้งข้าว เขาหัวเราะเบาๆกับตัวเอง พอใจที่ได้ทำเสียงครึกโครมในป่าช้า ซึ่งยายของเขามักห้ามนักห้ามหนาไม่ให้ย่างกรายมาใกล้ แต่ขวัญไม่เชื่อเรื่องผีสางเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆจนมาถึงจุดที่พื้นดินดูผิดปกติ มีร่องรอยดินที่ถูกขุดพลิกออกแล้วฝังอะไรบางอย่างไว้ ขวัญชะโงกหน้าดูด้วยความสงสัย ยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ เขาเริ่มใช้ไม้เท้าที่ถือมาขุดดินเล่น ปลายไม้กระแทกเข้ากับบางสิ่งที่แข็งแกร่ง ใบหน้าเด็กชายเบิกบานด้วยความตื่นเต้น ความคิดโลดแล่นถึงสมบัติล้ำค่าที่ฝังอยู่ใต้ดิน เขาย่อตัวลงแล้วจ้องมองหม้อดินเก่าคร่ำคร่าที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น หม้อมีลวดลายแปลกประหลาด สีน้ำตาลของดินเผานั้นซีดจางราวกับแบกรับกาลเวลามาเนิ่นนาน
“หม้ออะไรเนี่ย?” ขวัญพึมพำพลางใช้ปลายไม้เคาะเบาๆ ทว่าหม้อดินกลับมีรอยร้าวปรากฏขึ้นช้าๆพร้อมกับเสียงแตกเบาๆ
กร๊อบ…เพล้ง!
หม้อดินแยกออกเป็นสองส่วน เศษดินร่วงกราวลงบนพื้น เสียงแตกนั้นดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบงันของป่าช้า ขวัญสะดุ้งเฮือก รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหายไป หัวใจของเขาเต้นรัวเหมือนกลองศึก
ทันใดนั้น ลมแรงประหลาดพัดกระหน่ำราวกับพายุโหม ใบไม้ปลิวว่อน บางใบปลิวมาตบเข้าที่แก้มของขวัญจนแสบร้อน เขาเริ่มตัวสั่น รู้สึกหนาวเย็นผิดปกติแม้แดดจะแรงจ้า กลิ่นเหม็นเน่าและเปรี้ยวสาบลอยมากระแทกจมูกจนขวัญต้องเบ้หน้าหนี เสียงกรีดร้องแหลมสูงแผ่วเบาแว่วมาเหมือนเสียงจากใต้ดิน เสียงนั้นเย็นยะเยือกจนทำให้เลือดในกายของขวัญเย็นเฉียบ
ขวัญเริ่มน้ำตาคลอเบ้า มือที่เคยกำไม้เท้าไว้แน่นเริ่มสั่น เขาปล่อยไม้ทิ้งลงพื้น หัวใจเต้นแรงจนเจ็บไปทั้งอก รู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจ ลมหายใจของเขากลายเป็นหอบสั้นๆด้วยความหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่าตนเองไปทำผิดอะไร แต่สัญชาตญาณบอกให้เขาหนีไปให้พ้นจากที่นี่
“ฮือ… ยะ… ยาย!” เขาอุทานลั่นก่อนจะหันหลังและออกวิ่งสุดชีวิต น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม ขาที่เคยแข็งแรงกลับรู้สึกเหมือนกำลังลากหินหนักหลายตัน ลมแรงยังคงพัดกรรโชก เสียงหอนของหมาป่าจากอีกฟากหนึ่งของป่าดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าสะท้อนไปทั่วบริเวณ
ภายในหมู่บ้าน ณ ขณะนั้นลมแรงพัดโหมกระหน่ำและเสียงกรีดร้องดังจากทางป่าช้าไปจนถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านที่กำลังทำนาหรือพักผ่อนอยู่ใต้เงามะพร้าวต่างพากันเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ใบไม้แห้งปลิวผ่านหน้าไปหลายใบราวกับเป็นลางร้ายที่มาเยือน เสียงไก่ที่เคยคุ้ยเขี่ยดินเงียบไปทันที มีเพียงเสียงหอนของหมาและเสียงกระเบื้องหลังคากระทบกันที่ทำให้ทุกคนขนลุกซู่
ยายช้อย หญิงชราที่นั่งทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน ถึงกับหยุดมือที่เคยเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยดวงตาเบิกโพลง มือที่จับไม้ทอผ้าเริ่มสั่นระริก “เกิดอะไรขึ้นกันแน่… ลางร้าย… ลางร้ายแน่ๆ …” เธอพึมพำด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน ขณะที่ลูกสะใภ้ของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับมือเย็นเฉียบด้วยความกลัว
เสียงนกกาที่บินวนบนยอดไม้ดังแกรกกราก ชาวบ้านต่างพากันวิ่งมารวมตัวที่ลานกลางหมู่บ้าน สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและวิตกกังวล บางคนกุมพระที่ห้อยคอไว้แน่นจนสั่น ขณะที่คนอื่นๆยังตกใจและสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น กลิ่นกำยานจากบ้านใกล้ๆโชยมาแต่กลับไม่อาจบรรเทาความรู้สึกหวาดกลัวในใจของพวกเขาได้
เด็กหญิงคนหนึ่งกระชากมือแม่ของเธอแน่น ดวงตากลมโตมีแต่ความกลัว “แม่จ๋า… เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เธอถามเสียงสั่น แต่มารดากลับไม่มีคำตอบ มีเพียงความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตา
เหตุการณ์หม้อดินแตกในครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของหายนะที่จะเกิดขึ้น บางสิ่งบางอย่างที่ถูกกักขังมานานหลายสิบปีได้เป็นอิสระ ความอาฆาตและความโกรธแค้นของเธอแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้าน ไม่มีใครรู้เลยว่าโชคร้ายนี้จะลงเอยเช่นไร…
.
.
.
คืนหนึ่งในหมู่บ้าน เมื่อดวงจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนท้องฟ้า ส่องแสงสีเงินอาบทุ่งนาและยอดไม้จนทุกอย่างดูเงียบสงัดผิดปกติ ลมหนาวเย็นพัดผ่านพุ่มไม้ข้างลำคลอง เสียงกิ่งไผ่เสียดสีกันดังลั่นราวกับเสียงกระซิบของเหล่าภูตผี ในความเงียบนี้แสงหิ่งห้อยริบหรี่ลอยวนเวียนเหมือนคบเพลิงวิญญาณที่ไม่มีวันดับ
ลุงมี ชายชราคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงในหมู่บ้าน เดินงุดๆไปตามทางเดินที่ทอดยาวสู่บ้านของเขา เท้าเปล่าของเขากระทบกรวดและดินอย่างช้าๆไม้เท้าที่ใช้พยุงตัวเคาะพื้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ “ฮึ่ม… ทำไมคืนนี้มันเย็นถึงขนาดนี้วะ” เขาบ่นพึมพำเบาๆลมหายใจของเขากลายเป็นไอขาวจางๆในความหนาวของยามค่ำคืน ยิ่งมีข่าวว่ามีคนเจอผีในหมู่บ้านก็ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงยิ่งกว่าเดิม
ทันใดนั้นเองลมแรงพัดผ่านหลังคามุงจากของบ้านข้างทาง เสียงประตูไม้ที่ไม่ได้ลงกลอนดีพอกระแทกดัง
ปัง!
ลุงมีสะดุ้งเฮือก เส้นผมที่เคยบางบนหัวลุกชัน ใจของเขาเริ่มเต้นแรง เขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น มือข้างหนึ่งกุมไม้เท้าแน่นจนข้อนิ้วขาว
แต่เมื่อเดินมาได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาหยุดชะงัก ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องบนทางเดินเล็กๆ ริมคลอง มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ ผิวของเธอซีดขาวราวกับกระดาษขาดวิ่น ผมยาวสยายสีดำสนิทปรกลงมาจนเกือบถึงเอว เธอสวมชุดผ้าซิ่นไทยแบบโบราณ ผืนผ้านั้นเปื้อนรอยโคลนและฉีกขาดจนดูไม่เป็นระเบียบ ใบหน้าของเธอค่อยๆเงยขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีดำสนิทที่ว่างเปล่า ริมฝีปากซีดเซียวมีรอยแผลที่มุมปาก เลือดสีแดงคล้ำไหลซึมลงมาจากแผลเหวอะใหญ่บนลำคอขาวซีดหยดแล้วหยดเล่า
ลุงมีตัวสั่นสะท้าน ความกลัวแล่นไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือนขาจะไร้เรี่ยวแรง เขายืนแข็งทื่อ พยายามข่มความกลัวในใจและเปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา “ใคร…ใครกันน่ะ”
หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ที่แผ่วราวกับเสียงคร่ำครวญของวิญญาณ เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างนั้นจะเริ่มขยับช้าๆ ขาทั้งสองข้างของเธอก้าวเดินไปข้างหน้า ทว่าไม่ใช่การเดินอย่างที่มนุษย์ทำ เธอลอยอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย ราวกับไม่มีแรงโน้มถ่วง ผ้าที่ปลายซิ่นพลิ้วไหวในอากาศแม้จะไม่มีลมพัดผ่าน
ลุงมีหันหลังเตรียมจะวิ่งหนี แต่ขาของเขากลับอ่อนแรงจนทรุดลงกับพื้น ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ มือไม้สั่นเทาจนแทบจับไม้เท้าไม่ไหว เขาหอบหายใจแรงและเมื่อพยายามจะเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ มันกลับติดอยู่ในลำคอ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองหญิงสาวปริศนา ร่างนั้นเคลื่อนตัวมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นเน่าและกลิ่นโคลนเปียกโชยมากระทบจมูกของเขาทำให้เขาแทบจะอาเจียน
“มึง...ไอ้บุญมี” เสียงแหบพร่าของเธอกระซิบเบาๆ ขณะที่ดวงตาว่างเปล่านั้นจ้องมองเขา “ทำไม…มึงทำกูทำไม”
ลุงมีหลับตาแน่น ไม่อยากจะคิดว่าสิ่งนั้นได้กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง น้ำตาไหลรินจากดวงตาที่เหี่ยวย่น เขาเพียงแต่สวดมนต์ในใจ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด เขาไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง รู้สึกได้ถึงลมหนาวที่เป่าปะทะใบหน้า คล้ายกับว่าผีสาวได้เข้ามาใกล้จนเกือบจะแตะตัวเขา
แต่แล้วเสียงฝีเท้ากลับเงียบหายไป เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ผีหญิงสาวปริศนาได้หายตัวไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและความหนาวยะเยือกที่ยังคงแผ่ซ่านทั่วร่าง ลุงมีรีบลุกขึ้นด้วยแรงที่เหลืออยู่วิ่งกลับบ้านโดยไม่หันกลับมามองทางนั้นอีกเลย เขารู้ดีว่าเขาไม่ได้เจอกับมนุษย์หากแต่เป็นสิ่งที่ไม่ควรอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
สถานการณ์ในหมู่บ้านหลังจากที่ลุงมีเผชิญกับผีหญิงสาวปริศนากลายเป็นเรื่องเล่าขานที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ดวงตาของชาวบ้านเต็มไปด้วยความหวาดผวา ทุกครั้งที่พระอาทิตย์ตกดิน ความเงียบงันก็กลืนกินหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ เสียงของแมลงกลางคืนที่เคยเป็นเหมือนดนตรีประกอบชีวิตประจำวันกลับฟังดูแฝงด้วยความเยือกเย็นและน่าขนลุก ผู้คนปิดประตูหน้าต่างด้วยความระแวง พยายามทำให้บ้านของตัวเองดูราวกับปราสาทที่ไม่มีใครสามารถล่วงล้ำได้
หญิงวัยกลางคนชื่อ ป้าสม ที่เคยออกมานั่งปั่นฝ้ายหน้าบ้านพลางเล่าเรื่องเก่าๆให้ลูกหลานฟัง ตอนนี้นั่งอยู่แต่ในห้องมืดที่เต็มไปด้วยควันธูป เธอสวดมนต์ด้วยเสียงสั่นเครือ คำพูดของเธอสั้นและห้วนไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เคยพูดคุยอย่างออกรส หลายคนแอบได้ยินเธอเล่าถึงการเห็นเงาดำเคลื่อนไหวอยู่หน้าต่าง เสียงหัวเราะเย็นชาที่ลอยผ่านในยามค่ำคืนที่ชวนให้หนาวไปถึงกระดูก
ในซุ้มของตลาดเล็กๆที่ผู้คนเคยพูดคุยเฮฮาขณะซื้อของ ตอนนี้เต็มไปด้วยบทสนทนาเคร่งเครียด ชายหนุ่มชื่อไกรเล่าเสียงสั่นว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาเห็นเงาหญิงสาวยืนอยู่ที่ทุ่งนาหันหลังให้เขา ผมยาวของเธอปลิวไสวเหมือนมีลมพัดทั้งๆที่บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ไกรยืนยันว่าเมื่อเขาเรียกเสียงเบา หญิงสาวก็หันกลับมา ใบหน้าซีดเผือดนั้นไร้ดวงตา แต่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นและความเศร้าสลดที่ไม่สามารถลืมได้ ไกรตัวสั่นพลางเล่าความหวาดกลัวที่แทบทำให้เขาหยุดหายใจ
เด็กๆที่เคยวิ่งเล่นส่งเสียงหัวเราะในลานดินหน้าวัด ตอนนี้ได้แต่เกาะแขนแม่และรีบกลับบ้านก่อนตะวันจะลับฟ้า ทุกคืนเสียงแว่วของหญิงสาวที่กรีดร้องดังก้องจากทิศทางต่างๆทำให้คนในหมู่บ้านลุกขึ้นนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนที่นอน น้ำเสียงนั้นฟังดูแฝงด้วยความเจ็บปวดและความโกรธแค้นที่สะสมมาหลายปี หลายคนเอามือปิดหูพยายามไม่ให้เสียงนั้นแทรกซึมเข้าสู่จิตใจที่กำลังหวาดหวั่น
บรรยากาศในตอนกลางวันที่หมู่บ้านนั้นดูเงียบสงบกว่าช่วงกลางคืน แม้จะมีความเงียบสงบทั่วไป แต่ในอากาศยังคงมีความตึงเครียดที่สามารถสัมผัสได้ ขณะที่ลมพัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี บ้างก็บรรจบกับเสียงของใบไม้ที่สั่นไหวข้างต้นไม้สูง บางคนในหมู่บ้านกำลังทำกิจวัตรประจำวันอย่างเช่นตักน้ำจากบ่อ แต่ความเงียบนี้มันก็ซ่อนความวิตกกังวลที่ชาวบ้านไม่สามารถหลีกหนีไปได้
ในบ้านของผู้ใหญ่บ้านที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ชาวบ้านหลายคนมานั่งรอบโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นบางๆ ที่มองเห็นได้ชัดเจนในแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างไม้กรอบเก่า เสียงพูดคุยแว่วๆก้องอยู่ในห้องอันแคบนี้ ขณะที่ท่าทางของผู้คนที่มานั่งฟังดูเครียดและกังวลมากขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ขัดแตะที่มักจะใช้ในหมู่บ้าน เขากระชับผ้าขาวม้าที่ผูกอยู่ที่เอวและทำท่าทีเครียดและคาดหวัง ขณะที่บางคนในกลุ่มก็มองไปยังชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งที่เพิ่งกลับจากการพยายามขอความช่วยเหลือจากหมอผีจากหมู่บ้านใกล้เคียง
ชายหนุ่มผู้นั้นยืนขึ้นแล้วพูดด้วยเสียงที่สะท้านเล็กน้อย “ไม่… ไม่มีใครในหมู่บ้านนั้นสามารถปราบผีสาวปริศนาตนนั้นได้เลย หมอผีที่ข้าไปพบมาแต่ละคนบอกว่าไม่สามารถทำอะไรได้เลย แม้แต่การพยายามสะกดวิญญาณก็ยังไม่มีผล”
เสียงกระซิบในหมู่บ้านเริ่มดังขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น “แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ หากพวกหมอผีที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านใกล้เคียงยังไม่สามารถช่วยเราได้”
เสียงกระซิบค่อยๆ ดังขึ้นเป็นวงกว้างจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังจากที่ปลายห้อง เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันดีในหมู่บ้าน “เราควรไปขอความช่วยเหลือจากพะงาไหม”
เสียงของเธอทำให้ทุกคนเงียบลง เหมือนเวลาในห้องหยุดชะงัก ท่ามกลางแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างไม้ บรรยากาศในห้องดูชะงักเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
ผู้ใหญ่บ้านมองไปที่หญิงสาวที่เสนอชื่อพะงาอย่างระมัดระวัง “พะงา? หมอผีสาวจากหมู่บ้านอื่นใช่ไหม”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างมั่นใจ “พะงานางเป็นหมอผีที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้านใกล้เคียง นางเคยปราบผีที่ไม่มีใครปราบได้มาแล้ว บางทีนางอาจจะช่วยเราได้”
ชายคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆ กับหญิงสาวนั้นทำท่าทางลังเล “แต่… พะงา… นางเป็นคนที่เก่งก็จริง แต่การที่จะขอให้นางช่วยก็ยากเอาการอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หญิงสาวถอนหายใจ และพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “บางทีเราอาจจะต้องลองดู นางอาจจะเป็นทางเดียวที่จะช่วยเราได้”
ทุกสายตาของชาวบ้านหันมองที่ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านลูบหน้าผากด้วยความเครียดและครุ่นคิด เขาเริ่มพยักหน้าช้าๆ “ดี เราจะลองติดต่อไปหาพะงา ถ้านางยินดีช่วยเรา เราจะทำตามที่นางบอก แต่หากไม่ เราก็คงต้องหาวิธีอื่น”
บรรยากาศในห้องนี้กลับกลายเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวังที่กลับคืนมาอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความหวังที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับแสงแดดที่ลอดผ่านกิ่งไม้ลงมาที่พื้น นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ชาวบ้านจะสามารถทำอะไรได้
ผู้ใหญ่บ้านหันไปที่ชายหนุ่มผู้นั้น “ติดต่อกับพะงาให้เร็วที่สุด เราต้องการคำตอบในเร็ววัน”
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างแข็งขัน “ข้าจะรีบไปหานางเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อชายหนุ่มหมุนตัวออกจากห้อง ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มมองหน้ากันด้วยความหวัง ในที่สุด พะงาอาจจะเป็นคำตอบเดียวที่พวกเขารอคอย...
ผลงานอื่นๆ ของ 12345numnan ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ 12345numnan
ความคิดเห็น